ดื่มน้ำอย่างไรให้สุขภาพดี
ในหนึ่งวันควรบริโภคน้ำในอัตรา 4-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนัก เช่น น้ำหนัก 50 กก. ควรบริโภคน้ำไม่เกิน 2.5 ลิตรต่อวัน โดยพยายามดื่มน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเมื่อตื่น ตอนเช้า และควรดื่มก่อนกินอาหาร ครั้งละประมาณ 2-5 แก้ว เพราะเป็นเวลาที่จะช่วยขับของเสียได้เป็นอย่างดี
ไม่ควรบริโภคน้ำครั้งละมาก ๆ หรือบริโภคน้ำมากเกินพอดี เพราะว่าจะสร้างปัญหาได้ วิธีการดื่มน้ำที่เหมาะสมคือ บริโภคทีละน้อยๆ แต่บ่อยๆ เพื่อช่วยป้องกันโรคท้องอืด และให้ร่างกายได้มีโอกาสดูดซึมน้ำมากขึ้น ไม่สมควรให้ร่างกายขาดน้ำเกิน 2 ชม. ควรสร้างนิสัยมีน้ำดื่มติดตัวทุกคราว เพื่อที่จะดื่มน้ำได้ทั้งวัน และดื่มได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
ไม่ควรบริโภคน้ำมากเกินไปก่อนที่จะกินอาหารหรือระหว่างกินอาหาร ถ้าดื่มก็ไม่ควรเกิน 1 แก้ว เพราะน้ำจะเข้าไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร เมื่อรับประทานอาหารตามเข้าไปน้ำย่อยที่เข้มข้นสำหรับย่อยอาหารกลับเจือจางเสียแล้ว เป็นเหตุให้อาหารย่อยไม่ดีเท่าที่ควร เป็นสาเหตุการหมักหมมในกระเพาะอาหารได้
ควรยกเว้นการบริโภคน้ำแข็งหรือน้ำเย็นมาก เพราะอุณหภูมิปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ประมาณ 35-37 องศา น้ำเย็นจะไปดึงความร้อนของร่างกายเป็นเหตุให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย การดูดซึมจึงจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้กลับสู่สภาวะปกติ การแพทย์แผนจีนได้แนะนำว่าไม่ควรดื่มน้ำชาใส่น้ำแข็ง แม้ว่าดื่มแล้ว จะชื่นใจ แต่ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งจะร้อน ก็เพราะว่าชามีฤทธิ์เย็น (แม้จะดื่มร้อนก็ตาม) ยิ่งที่ใส่น้ำแข็ง ร่างกายเราจะเย็นเปรียบเสมือนถูกแช่เย็น และเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดลมหรือแก๊สในร่างกายได้ด้วย
อีกหนึ่งข้อควรรู้คือ ไม่สมควรดื่มน้ำที่ต้มแล้วต้มอีก เพราะว่าเมื่อน้ำเดือดระเหยไปจะเหลือแร่ธาตุอยู่ เมื่อเดือดซ้ำๆ แร่ธาตุจะมีอยู่ในน้ำมากเกินควร ทำให้เกิดโรคนิ่วที่ถุงน้ำดี หรือกรวยไตได้ ปัจจุบันมีเครื่องกรองน้ำที่สะอาด ทำให้เราไม่ต้องต้มน้ำกิน ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่จะลดอัตราการเกิดนิ่วได้
จัดทำโดย http://www.dtsood.com